วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Our first call (Jaeyong)



      








       "It is a truth universally acknowledged, that a single man in possession of a good fortune must be in want of a wife"


            ทินกร ลีวรกุล

            เป็นชื่อที่เจ้าตัวคิดว่ามันเห่ยมากๆ แม้ว่าเขาจะชมว่าดูเข้ากับเจ้าตัวแค่ไหน ใบหน้าคมปนหวานนิดๆ เพราะดวงตากลมโตซึ่งมักจะช้ำน้ำ ในขณะนี้นัยน์ตาคู่นั้นกำลังมองไปนอกบีทีเอส ขบวนโดยสารวันนี้ไม่ได้แน่นขนัดไปด้วยผู้คนยามเช่นเวลาเลิกงานเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

            ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขามักจะแทนตัวเองเวลาอยู่กับคนสนิทว่าน้องแจน หม่าม้าบอกว่ามันทำให้น้องแจนดูเป็นเด็กดี มันทำให้ใครต่อใครเกิดความเอ็นดูในตัวเขาได้อย่างง่ายๆ

            และใช่... หม่าม้าพูดถูก

            เพราะทุกครั้งที่เขาออดอ้อนขออะไรบางอย่างจากพี่ทินแล้วแทนตัวเช่นนั้น อีกฝ่ายมักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสมอ
             
            น้องแจนก้มลงกดมือถือตอบเพื่อนสนิทอย่างเจนนี่ ในขณะที่อีกมือเกาะไหล่บางของอีกฝ่ายไว้ เราสองคนเพิ่งออกมาจากโรงหนัง ก่อนที่น้องแจนจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไปได้แล้วต้องข่มความรู้สึกอยากขำเอาไว้เต็มกำลัง

            ดวงตาของพี่ทินยังคงชุ่มน้ำ มันดูเปล่งประกายเหมือนดาวในตอนกลางคืน แพขนตามีหยาดน้ำจับอยู่รอบๆ และแม้ว่าเราจะออกมาห่างจากโรงหนังมากถึงสามสถานีแล้วแต่พี่ทินยังคงคลอไปด้วยน้ำตา

            คนแมนของน้องแจนเพิ่งร้องไห้เพราะได้ดูดราม่าชีนในหนังเรื่องนึง

            สะอื้นไหล่สั่นจนน้องแจนต้องเอื้อมมือไปดึงไหล่อีกฝ่ายเข้าหาตัว ซึ่งจากที่เพียงสะอื้นเบาๆ ตัวหนังที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้อย่างเนียบเนียนก็ทำให้คุณทินกรปล่อยก๊อกออกมาจนไหล่น้องแจนเปียกชุ่ม

            น้องแจนเงยหน้าขึ้นจากมือถือเพื่อมองคนที่เอนไหล่มาพิงกัน ทั้งคู่ได้ที่นั่งเมื่อสถานีก่อนเพราะมันค่อนข้างดึกแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ในตอนนี้แทบจะใช้เวลาไปกับการนอนแล้วด้วยซ้ำ

            “ง่วงชะมัด”

            “อย่าเพิ่งหลับนะพี่ เดี๋ยวจะเปลี่ยนขบวนแล้ว”

            “รู้แล้วน่า” ทำเป็นปากเก่งแต่ก็หาวหวอดๆ ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่นอนเกินเวลานักหรอก

            น้องแจนอมยิ้ม มองกลุ่มผมที่ช่วงโคนผมเริ่มเป็นสีดำ หลังจากย้อมไปเมื่อเดือนก่อนพี่ทินก็ไม่ได้ย้อมสีผมลงไปย้ำอีกเลย แต่เขาก็ไม่ได้อยากขัดใจอีกฝ่าย เพราะพี่ทินดูเหมือนจะอยากกลับไปทำผมดำเหมือนเดิมมากกว่า สีผมแนวสว่างดูทำให้พี่ทินดูร้าย และน้องแจนไม่ชอบมันซะเลย

            “ผมพี่เป็นสีดำหมดแล้วตรงโคนผมนะ”

            “อือ รู้แล้ว ถึงได้ใส่หมวกปิดไว้ไง ว่างๆ จะไปย้อมสีดำกลับแล้ว”

            “ดีเลยพี่ พี่ทำสีเงินมามีแต่คนมอง”

            “เค้ามองเพราะกูหล่อไง”

            “จะหล่อหรืออะไรไม่รู้ หนูหวง”

            “มึงนี่นะ” ไม่เท่านั้นมือพี่ทินก็ยกขึ้นมาผลักหัวเขาเบาๆ เสมือนกับว่าความหงุดหงิดในการหึงหวงของน้องแจนเป็นเรื่องน่าขบขัน

            ดวงตาที่บวมช้ำเพราะร้องไห้ไปเมื่อครู่ปิดสนิท น้องแจนลอบมองแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย พี่ทินดูไม่ต่างอะไรกับเด็กที่อายุเพิ่งยี่สิบอย่างเขาเท่าไหร่นัก

            คุณทินกร ลีวีกุลเป็นคนแปลก

            ชายอายุ27 ทำงานสายไอทีในบริษัทดังย่านอโศกเป็นคนที่มีมิติในตัวเองสูงมากจนน้องแจนนึกสนุกในการค้นหามันอยู่เรื่อยๆ

            พี่ทินทั้งน่าขบขัน น่าเอ็นดูในแบบของตนเอง และแปลกประหลาดหลุดโลกจนนึกทึ่งที่ได้รู้จักคนแบบนี้  
           
            แปลกแบบที่น้องแจนสามารถค้นพบความประหลาดใจในตัวพี่ทินได้ทุกวัน จนเดี๋ยวนี้น้องแจนมักจะเลิกตกใจไปแล้วเมื่อเห็นพี่ทินทำอะไรที่น้องแจนไม่คาดคิดว่าพี่ทินจะชอบทำหรือทำเป็นกิจวัตรเสมอ อาทิเช่น...

            พี่ทินชอบทำบุญ กิจวัตรยามเช้าในวันอังคารและพฤหัสของคนที่พิงไหล่น้องแจนอยู่คือ จะตื่นมาทำบุญก่อนไปทำงานเสมอ ซึ่งนอกจากจะชอบทำบุญตักบาตร พี่ทินยังเป็นฝ่ายที่ทำกับข้าวไปใส่บาตรเองด้วยโดยไม่ยอมซื้อจากแม่ค้าในตลาด พร้อมเหตุผลที่หลุดมาว่า

            “หลวงพ่อเบื่อตาย กินแต่กับข้าวมันๆ เยิ้มๆ น้ำมันจากแม่ค้าในตลาด”

          ของที่พี่ทินทำใส่บาตรมันก็ไม่ได้เป็นอาหารเลิศหรูอะไร แต่มันก็ดีกว่าผัดน้ำมันเลี่ยนๆ ในตลาดจริงๆ

            บางอาทิตย์น้องแจนก็มีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามพี่ทินไปถวายสังฆทาน มันทำให้หม่าม้าน้องแจนชมใหญ่เพราะถ้าไม่ใช่เพราะมากับพี่ทิน น้องแจนจะไม่ยอมมาวัดเด็ดขาดเลย หากแต่ว่าเดี๋ยวนี้ในหนึ่งเดือนต้องมีสองวันที่เราไปวัดกัน

            พี่ทินเป็นคนทำอาหารเก่งมากอย่างไม่น่าเชื่อ พี่ทินทำได้ทุกอย่างที่น้องแจนบอกว่าอยากกิน ตั้งแต่อาหารไทย จีน ฝรั่ง เกาหลีไปจนถึงการทำเบเกอรี่ เจ้าตัวเอ่ยปากว่าถ้าไม่ชอบเรียนคอมพ์คงได้ไปเป็นเชฟแล้วเรียนต่อด้านการทำอาหารอย่างจริงจังต่อด้วยหางานทำในร้านอิตาลีแน่นอน น้องแจนอยากจะขอบคุณอะไรสักอย่างที่ดลใจให้พี่ทินไม่ได้อยากเป็นเชฟจริงจัง และมีโอกาสได้พบพี่ทินจนทุกวันนี้

            พี่ทินชอบสัตว์หน้าขนทุกชนิด ที่ต้องเรียกว่าหน้าขนคือเป็นอะไรก็ตามที่มันดูมีขนและนุ่มนิ่ม พี่ทินจะไม่รอช้าที่จะใช้เสียงสอง เสียงสาม เสียงสี่ในการเข้าไปพูดคุยกับพวกมัน เพื่อนหน้าขนของคุณทินกรมีตั้งแต่แมวส้มหน้าคอนโด ตัวเฟ่อเรสของเด็กข้างห้อง พี่จัมโบโกลเด้นตัวใหญ่ที่เวลามันยืนทีแทบมิดหัวพี่ทิน และสัตว์อีกมากมายที่พี่ทินมักจะหยุดทักมันด้วยความเป็นมิตร

            เอาจริงๆ นะ พี่ทินยังไม่เคยใช้เสียงสาม เสียงสี่ในการคุยกับน้องแจนด้วยซ้ำ

            ณ จุดนี้คือโคตรอิจฉาหมาอ่ะบอกตรงๆ

            ให้ดิ้นตายเถอะเทพอีรอส

            วิธีการที่พี่ทินใช้พูดกับหมาแมวพวกนั้น น้องแจนโคตรอยากได้

            พี่ทินเป็นเหมือนคนไม่ยี่หระอะไรในชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะผมว่าพี่ทินใส่ใจในทุกๆ อย่างรอบกาย แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กน้อยเช่นการชอบเดินไหล่ตกของน้องแจน การไม่ชอบกินกระเทียมทุกประเภทบนโลกใบนี้ทำให้อีกคนมักจะบ่นอะไรสักอย่างในลำคอโดยที่น้องแจนจับใจความไม่ได้ การที่น้องแจนชอบใส่ชุดหรือเสื้อตามสีของวันซึ่งทำให้พี่ทินหัวเราะเสมอ

            พี่ทินเป็นคนไม่ติดมือถือ พ่อคนหัวโบราณพอใจกับการอยู่กับหนังสือสักเล่มในบ่ายแก่ๆ วันอาทิตย์ จมอยู่กับตัวอักษรในหนังสือโดยไม่สนโลกภายนอกใดๆ แน่นอนว่าการอ่านหนังสือของคุณทินกรจะต้องมีเสียงเพลงเข้ามาด้วย ซึ่งมันมาจากเครื่องแผ่นเสียงที่เจ้าตัวโม้หนักหนาว่าสั่งมาจากเมริกา พร้อมด้วยเพลงแจ็ซและบลูโซลอีกหลายเพลงที่ฟังไปฟังมาน้องแจนก็ว่ามันเพราะดีเหมือนกัน

            หนังสือแนวที่พี่ทินอ่านแน่นอนว่าก็ไม่ใช่นิยายรักโรแมนติกอีกนั่นแหละ ถ้าพี่ทินได้อ่านนิยายรักดังๆ เช่น  Pride and prejudice, Twilight หรือแม้แต่ Fifty shade of Grey พี่ทินคงเป็นโรแมนติกแมนเพิ่มขึ้นกว่านี้หลายเท่า ในบางวันที่หยุดงานพี่ทินมักจะคลุกอยู่ในร้านหนังสือขนาดใหญ่ในพารากอนและเซนทรัลเวิร์ด เลือกซื้อหนังสือที่เต็มไปด้วยปรัชญาชีวิต กลอนและบทกวี ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งยังตอกหน้าน้องแจนกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ ว่า  

            อ่านแต่นิยายรักประโลมโลกอยู่ได้ หัดเพิ่มไอคิวด้วยการอ่านอะไรที่ทำให้ think positive มั่งเด็กโง่”

            ชิ เป็นคำพูดที่ให้ความรู้สึกเจ็บเหมือนมดกัดนั้นแหละ

            พี่ทินให้ความรู้สึกเย็นเหมือนกลิ่นมิ้นต์แสนสดชื่นในวันอาทิตย์ที่แดดตอนเช้ายังไม่แรงนัก เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้ท้องฟ้าสว่างกว่าทุกวัน

            คุณทินกร ลีวรกุลบางครั้งก็ดูเป็นคนงดงาม แฝงไว้ด้วยมนตราที่แสนเย้ายวน สง่างามและไร้ที่ติจนทำให้หัวใจสลาย

            โลกนี้หาวิธีเล่นงานจุดอ่อนของเราได้เสมอ

            และจุดอ่อนของน้องแจนคือคุณทินกร ลีวรกุล

           

            น้องแจนเจอพี่ทินเมื่อสามเดือนก่อน ในร้านเหล้าที่ไปกับพี่รหัสครั้งแรก ในช่วงแรกก็ค่อนข้างไม่ชอบใจกับเสียงที่มันดังเกินไปและบุหรี่คละคลุ้งที่ลอยไปทั่วจนหาอากาศบริสุทธิ์หายใจไม่ได้ หากแต่เพียงไม่นาน น้องแจนก็เจอกับคนที่ทำให้ทัศนคติการมองแหล่งบันเทิงเหล่านี้เปลี่ยนไป

            สายตาของพี่ทินตอนนั้นเยิ้มไปเล็กน้อยเพราะพิษแอลกอฮอล์ที่มากไปในเส้นเลือด เสียงหัวเราะขบขันดังอยู่ตลอดเวลา จากลักษณะการแต่งตัวและเพื่อนที่มาด้วยกันทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นพนักงานบริษัทสักทีที่มาปลดปล่อยความเครียดกันสุดสัปดาห์ น้องแจนใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการแอบมองอีกฝ่าย

            มองพร้อมกับความแปลกประหลาดที่ก่อกวนความรู้สึก

            มองพร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว

            มองพร้อมกับความคิดฟุ้งซ่านที่วนเวียนเสมือนควันจากปลายบุหรี่ที่ไม่ยอมลอยไปไหน

            มองพร้อมหัวที่เต้นโครมครามเหมือนมีพายุลูกใหญ่หมุนวนอยู่ในนั้น
  
            หลายครั้งที่สายตาของเราบังเอิญปะทะกันกลางอากาศ และในหลายๆ ครั้งนั้นเองที่อีกฝ่ายมักจะเลิกคิ้วใส่น้องแจนราวจะถามว่า มีไร

            เก้วก้าดจุงเบย ใจคนอื่นเค้าบอบบางนะ

            ทั้งที่ทำหน้าเหมือนลูกแมวขู่แท้ๆ

            ไม่รู้ด้วยความเป็นไบโพลาร์หรือผีห่าอะไรเข้าสิง วันนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินตามคนไม่สนิทกลับบ้านอย่างว่าง่าย  หัวเราะไปกับคนๆนั้นด้วยมุขตลกโง่ๆ ที่แม่งไม่เห็นจะขำสักนิด สิ่งที่น่าปวดหัวอีกอย่างคือ สุดท้ายมันไปจบที่เตียงขนเป็ดในโรงแรมสามดาวในเขตไม่ไกลจากผับนั้นเท่าไร

            รวมทั้งผีห่าซาตานที่ยังคงสิ่งอยู่ดันเทิร์นรุกตุ๊ดเด็กหัวโป๊กที่วันๆ เอาแต่คุยเรื่องเครื่องสำอางมากดชายแมนทั้งแท่งที่ตอนแรกอยากได้เป็นผัว

            ชิบหายกว่านี้ก็เปิดกล่องแพนโดร่าแล้ว

            “มึง... กูเจ็บ... ปล่อยก่อน” จำได้แม่นเชียวละ ไอ้อาการกรึ่มๆ มึนๆ นั้นสร่างไปได้สักพักตั้งแต่แท็กซี่เลี้ยวรถเข้าโรงแรมแล้ว เบลอแบลงค์ยังไงไม่รู้ พลิกตัวมาคร่อม จ่อปากทางรักอีกฝ่ายพร้อมรุกเมืองแล้ว

            “พี่มันไม่เข้าอ้ะ” หงุดหงิดจนเผลอเพิ่มเสียงเข้มหลังจากกดแท่งร้อนที่ขยายขึ้นอย่างน่าตกใจใส่คนที่เอาแต่บอกตัวเองแมนตลอดทั้งคืน

            “มึงช้าๆ มึงอย่าเพิ่งดัน มันจุก ไอ้เหี้ยอย่างน้อยมึงควรมีเจลหรือเหี้ยอะไรสักอย่างอ่ะ” อีกฝ่ายแหวมาเสียงดัง ฟังก็รู้ว่ากัดฟันพูดด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ต่างไปจากกันนัก

            โกรธแค้นจนอยากกระทืบให้ตายกันเลยมั่ง ดวงตากลมโตนั้นถึงฉายแววอาฆาตจนเสียวสันหลังไปวูบนึง

            แต่พูดก็พูดเถอะ แมนเหี้ยไรเอวเล็กขนาดนี้วะถามจริงพี่?

            วันๆ ได้แดกข้าวแดกปลาบางหรือเปล่า เดินไปเจอลมแรงจะปลิวไหมเนี้ย

            พูดจาหยาบคายอย่างกับนักเลงโต แรงดันมีเท่ามด งัดกันนิดหน่อยก็หมดแรงจะสู้หอบหายใจแฮกๆ แล้ว

            เห็นแล้วมันอยากจะฟัดให้จมชะมัด

            สิ่งที่คิดว่าน่าจะใช้หล่อลื่นในตอนนั้นได้มากที่สุดคือน้ำลาย ไม่รอช้าจึงได้ถ่มลงบนช่องทางสีสวยที่ไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนของอีกฝ่าย ปลายนิ้วยาวตวัดป้ายหล่อลื่นมันอีกเล็กน้อยหากเพียงแค่นั้นก็สร้างอาการเกร็งจนรู้สึกได้แล้ว

            “โคตรดิบเลยอ่ะ ขอโทษนะพี่แต่อารมณ์มันพาไปแล้ว”

            “มึงหยุดพูด อึก...” เสียงแหบแห้งหอบหายใจออกมาอย่างกระเส่า เซ็กซี่ชิบหาย เซ็กซี่กว่ามิยาบิที่เคยแอบแม่เปิดดูกะอีเจนนี่อีก

            พี่ทินโคตรเซ็กซี่

            “ข้างในพี่โคตรร้อนอ้ะ อ๊า... รัดจัง” มันกำลังบีบรัดสิ่งแปลกปลอมที่สอดตัวเข้ามา ความอุ่นร้อนโอบอุ้มตัวตนเขาไว้จนอดไม่ได้ที่ต้องคำรามในลำคอ

             “เบาๆก่อน ช้าๆ ฮ้า... ค่อยๆทำ กูไม่เคย...”

            “ฮื่อ รู้แล้วว่าไม่เคย แน่นขนาดนี้ ขอโทษจะไม่เอาแต่ใจแล้ว” ไม่เคยเอากะใครหรอกนะ แต่ตัวสั่นแล้วเข้าโคตรยากขนาดนี้ควายที่ไหนก็ดูออกว่าไม่เคย

            “พี่ทิน...”

            “อื้อ...”

            “หันหน้ามาหน่อยได้ป่ะ”

            “ทำไม อ๊า... อย่าเร็วขนาดนั้น” มองจากมุมที่เขาอยู่พี่ทินกำเล็บจิกลงบนที่นอนแน่น ใบหน้าแหงนขึ้นฟ้า เอวเล็กแอ่นเป็นแนวราบไปกับเตียง

            โอ๊ย ขี้ยั่วไม่รู้ตัวอีกแล้ว

            เพื่อนๆ ที่คบกับอยู่นี่อดใจกับคนแบบนี้ได้ไงกัน

            “แจน...”

            “ว่าไงพี่”

            “เจ็บ...”

            “ขอโทษค่ะ” เออ อดใจไม่ไหวจริงๆ แหละ อดใจไม่ไหวจนต้องหันใบหน้าคนที่น้ำตาคลอมาจูบเบาๆ

            จากจูบที่เพียงแค่กดริมฝีปากลงบางๆ มันกลายเป็นดีพคิสแสนลึกล้ำ เขาไล้ต้อนเกี่ยวกระหวัดลิ้นด้านในริมฝีปากบวมช้ำถูกบดจูบไปซ้ำๆ จูบย้ำไปทั่วทุกอณู ผิวขาวเหมือนเด็กขึ้นสีจางๆ จากริมฝีปากเขาที่ลากผ่าน

            พี่ทินตัวโคตรหอม

            “มึง... มึง...”

            “อื้อ”

            “ไอ้น้องแจน หลับหรอ”

            “อะไรนะ?”

            “จะลงแล้ว ลุกดิ้ มึงหลับทั้งที่ลืมตาเนี้ยนะ”

            กระพริบตาอีกทีสภาพห้องเละเทะราวกับเกิดสงครามโลกในโรงแรมนั้นก็จางหายวับไป เหลือเพียงรอยยิ้มขำเชิงเยาะเย้ยมาจากคนด้านหน้าที่ลุกมาจ้องหน้าเขา

          ฝัน... หรอ

            “ชอบนอนดึก กูเคยบอกแล้วให้นอนพร้อมกู”

            “อ่อ... อื้อ”

            “ลุกป้ะ เดี๋ยวพาไปล้างหน้า”

            “อื้อ”

            “ป้ะดิ มึงจะนั่งหาป้ามึงหรอ”

            “ใจเย็นคร่า คนสวยก็ต้องการเวลาในการลุกบ้างอะไรบ้าง”

            “โว๊ะ ชักช้าเป็นเต่า”

            เพียงเท่านั้นคนขี้รำคาญเลยไปยืนรอหน้าประตูทันที กระเป๋าสะพายข้างที่วางไว้บนตักถูกยกมาปิดด้านหน้าของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นไม่ให้ใครสะดุดตาเท่าไร

            อะไรมันจะขึ้นง่ายขนาดนี้ว่ะ

            โอย แข็งมากเลยด้วย อีเหี้ย

            นี่มันเหี้ยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

            ชิบหายจริงๆ มาขึ้นอะไรตอนอยู่บนบีทีเอสเนี้ย นังเด็กไม่รักดี!

            นึกถึงพี่ทินนิดหน่อยทำเป็นขึ้นๆ โอย น้องแจนจะบ้า!

            คนที่เอาแต่เดินนำหันกลับมามองกันบ่อยๆ ซึ่งนอกจากส่งยิ้มแหยๆ พร้อมด้วยท่าเดินแปลกที่ต้องปกปิดบางส่วนที่มันนู่นขึ้นมากลับไปให้พี่ทิน ก็ได้แต่สวดภาวนาว่ามันจะไม่มีคนเห็น

            โคตรโรคจิตเลยอ่ะ มาอยากอะไรตอนนี้กัน

            “พี่ทิน”

            “อืม?”

            “ขอไปห้องน้ำหน่อยได้ป่ะ”

            “มึงปวดท้องหรอ เดินแปลกๆ”

            “เอ้อออออ โคตรปวดท้องอ่ะพี่ รอแปปนะ ขอไปห้องน้ำหน่อย”

            “เอ้า อีนี่ กูต้องรอมึงขี้ด้วยหรอ ตอนอยู่เคเอฟซีกูบอกแล้วว่าอย่าแดกเยอะ”

            “น้า... หนูยังเคยรอพี่ขี้เลย รอหนูครั้งนึง”

            “มึงแม่งวุ่นวายวะน้องแจน”

            “อือ ขอทีนึง”

            “เออ รีบๆไป กูจะไปหาที่นั่งรอละกัน”

            “ค่ะ จะรีบให้มากที่สุด”

            เมื่อยมืออีกแล้ววุ้ย!
           

            .
            .
            .
            (พี่ทิน)

            “มึงจะเสร็จหรือยังเนี่ย รอมาสิบนาทีละ”

            (โทรคุยเป็นเพื่อนหน่อยดิ)

            “อีบ้า ให้ฟังเสียงมึงขี้หรือไง”

            (ใจร้ายอ่ะ อ่อนโยนหน่อยดิ)

            “เออ ก็ได้แม่ง”

            (งั้นช่วยหนูอีกอย่าง)

            “อะไรอีกวะ ทำไมวันนี้มึงโคตรวุ่นวาย”

            (กลัวผีอ่ะ ช่วยหน่อยยยยย)

            “ให้ทำอะไร”

            (พี่ลองเรียกแบบน้องแจนๆ ไปเรื่อยหน่อยดิ)

            “นี่มึงเป็นบ้าแล้วหรอ น้องแจนๆอะไรของมึง”

            (ก็หนูจะได้อุ่นใจว่าพี่คุยกะหนูอยู่)

            “มึงแม่งโคตรตัวน่ารำคาญเลย”

            (งื้อ ช่วยหน่อยน้า แค่นี้เอง)

            “เออๆๆ น้องแจน...”

            (อื้อ...)

            “เสียงมึงกระเส่าจังว่ะ”

            (มันปวดอยู่ก็เงี้ยแหละ ไม่เคยปวดมากๆหรือไง)

            “ปวดมากแล้วไม่บอกว่ะ จะได้พาเข้าห้องน้ำตั้งแต่แรก”

            (เรียกชื่ออีกรอบหน่อย กลัวผี)
           
            “เออๆๆ”

            (...)

            “น้องแจน...”

            (...)

            “น้องแจน...”

            (อื้อ ดีมากเลยพี่ทิน)

            “อะไรของมึงว่ะน้องแจน”

            (อืม..)

            “น้องแจน...”

            (...)

            “น้องแจน...”

            (อ๊ะ...)

            ตรู๊ด.... ตรู๊ด.... ตรู๊ด...


            “อะไรของน้องแจนแม่งว่ะ” 





แจนมันทำอารายยยยย ป้าคิดมากกกก แกไม่ได้ขี้แน่ๆ
เดี๋ยวมาต่อวันเกิดน้องแจนอีกตอนวันหลัง ง่วงแร้ว ฝันลีกานน้าทุ๊กโค้น
ถ้าชอบอย่าลืมติดแท็ก #คืนที่หนึ่งแจยง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น