วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Our first call (Jaeyong)



      








       "It is a truth universally acknowledged, that a single man in possession of a good fortune must be in want of a wife"


            ทินกร ลีวรกุล

            เป็นชื่อที่เจ้าตัวคิดว่ามันเห่ยมากๆ แม้ว่าเขาจะชมว่าดูเข้ากับเจ้าตัวแค่ไหน ใบหน้าคมปนหวานนิดๆ เพราะดวงตากลมโตซึ่งมักจะช้ำน้ำ ในขณะนี้นัยน์ตาคู่นั้นกำลังมองไปนอกบีทีเอส ขบวนโดยสารวันนี้ไม่ได้แน่นขนัดไปด้วยผู้คนยามเช่นเวลาเลิกงานเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

            ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขามักจะแทนตัวเองเวลาอยู่กับคนสนิทว่าน้องแจน หม่าม้าบอกว่ามันทำให้น้องแจนดูเป็นเด็กดี มันทำให้ใครต่อใครเกิดความเอ็นดูในตัวเขาได้อย่างง่ายๆ

            และใช่... หม่าม้าพูดถูก

            เพราะทุกครั้งที่เขาออดอ้อนขออะไรบางอย่างจากพี่ทินแล้วแทนตัวเช่นนั้น อีกฝ่ายมักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสมอ
             
            น้องแจนก้มลงกดมือถือตอบเพื่อนสนิทอย่างเจนนี่ ในขณะที่อีกมือเกาะไหล่บางของอีกฝ่ายไว้ เราสองคนเพิ่งออกมาจากโรงหนัง ก่อนที่น้องแจนจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไปได้แล้วต้องข่มความรู้สึกอยากขำเอาไว้เต็มกำลัง

            ดวงตาของพี่ทินยังคงชุ่มน้ำ มันดูเปล่งประกายเหมือนดาวในตอนกลางคืน แพขนตามีหยาดน้ำจับอยู่รอบๆ และแม้ว่าเราจะออกมาห่างจากโรงหนังมากถึงสามสถานีแล้วแต่พี่ทินยังคงคลอไปด้วยน้ำตา

            คนแมนของน้องแจนเพิ่งร้องไห้เพราะได้ดูดราม่าชีนในหนังเรื่องนึง

            สะอื้นไหล่สั่นจนน้องแจนต้องเอื้อมมือไปดึงไหล่อีกฝ่ายเข้าหาตัว ซึ่งจากที่เพียงสะอื้นเบาๆ ตัวหนังที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้อย่างเนียบเนียนก็ทำให้คุณทินกรปล่อยก๊อกออกมาจนไหล่น้องแจนเปียกชุ่ม

            น้องแจนเงยหน้าขึ้นจากมือถือเพื่อมองคนที่เอนไหล่มาพิงกัน ทั้งคู่ได้ที่นั่งเมื่อสถานีก่อนเพราะมันค่อนข้างดึกแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ในตอนนี้แทบจะใช้เวลาไปกับการนอนแล้วด้วยซ้ำ

            “ง่วงชะมัด”

            “อย่าเพิ่งหลับนะพี่ เดี๋ยวจะเปลี่ยนขบวนแล้ว”

            “รู้แล้วน่า” ทำเป็นปากเก่งแต่ก็หาวหวอดๆ ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่นอนเกินเวลานักหรอก

            น้องแจนอมยิ้ม มองกลุ่มผมที่ช่วงโคนผมเริ่มเป็นสีดำ หลังจากย้อมไปเมื่อเดือนก่อนพี่ทินก็ไม่ได้ย้อมสีผมลงไปย้ำอีกเลย แต่เขาก็ไม่ได้อยากขัดใจอีกฝ่าย เพราะพี่ทินดูเหมือนจะอยากกลับไปทำผมดำเหมือนเดิมมากกว่า สีผมแนวสว่างดูทำให้พี่ทินดูร้าย และน้องแจนไม่ชอบมันซะเลย

            “ผมพี่เป็นสีดำหมดแล้วตรงโคนผมนะ”

            “อือ รู้แล้ว ถึงได้ใส่หมวกปิดไว้ไง ว่างๆ จะไปย้อมสีดำกลับแล้ว”

            “ดีเลยพี่ พี่ทำสีเงินมามีแต่คนมอง”

            “เค้ามองเพราะกูหล่อไง”

            “จะหล่อหรืออะไรไม่รู้ หนูหวง”

            “มึงนี่นะ” ไม่เท่านั้นมือพี่ทินก็ยกขึ้นมาผลักหัวเขาเบาๆ เสมือนกับว่าความหงุดหงิดในการหึงหวงของน้องแจนเป็นเรื่องน่าขบขัน

            ดวงตาที่บวมช้ำเพราะร้องไห้ไปเมื่อครู่ปิดสนิท น้องแจนลอบมองแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย พี่ทินดูไม่ต่างอะไรกับเด็กที่อายุเพิ่งยี่สิบอย่างเขาเท่าไหร่นัก

            คุณทินกร ลีวีกุลเป็นคนแปลก

            ชายอายุ27 ทำงานสายไอทีในบริษัทดังย่านอโศกเป็นคนที่มีมิติในตัวเองสูงมากจนน้องแจนนึกสนุกในการค้นหามันอยู่เรื่อยๆ

            พี่ทินทั้งน่าขบขัน น่าเอ็นดูในแบบของตนเอง และแปลกประหลาดหลุดโลกจนนึกทึ่งที่ได้รู้จักคนแบบนี้  
           
            แปลกแบบที่น้องแจนสามารถค้นพบความประหลาดใจในตัวพี่ทินได้ทุกวัน จนเดี๋ยวนี้น้องแจนมักจะเลิกตกใจไปแล้วเมื่อเห็นพี่ทินทำอะไรที่น้องแจนไม่คาดคิดว่าพี่ทินจะชอบทำหรือทำเป็นกิจวัตรเสมอ อาทิเช่น...

            พี่ทินชอบทำบุญ กิจวัตรยามเช้าในวันอังคารและพฤหัสของคนที่พิงไหล่น้องแจนอยู่คือ จะตื่นมาทำบุญก่อนไปทำงานเสมอ ซึ่งนอกจากจะชอบทำบุญตักบาตร พี่ทินยังเป็นฝ่ายที่ทำกับข้าวไปใส่บาตรเองด้วยโดยไม่ยอมซื้อจากแม่ค้าในตลาด พร้อมเหตุผลที่หลุดมาว่า

            “หลวงพ่อเบื่อตาย กินแต่กับข้าวมันๆ เยิ้มๆ น้ำมันจากแม่ค้าในตลาด”

          ของที่พี่ทินทำใส่บาตรมันก็ไม่ได้เป็นอาหารเลิศหรูอะไร แต่มันก็ดีกว่าผัดน้ำมันเลี่ยนๆ ในตลาดจริงๆ

            บางอาทิตย์น้องแจนก็มีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามพี่ทินไปถวายสังฆทาน มันทำให้หม่าม้าน้องแจนชมใหญ่เพราะถ้าไม่ใช่เพราะมากับพี่ทิน น้องแจนจะไม่ยอมมาวัดเด็ดขาดเลย หากแต่ว่าเดี๋ยวนี้ในหนึ่งเดือนต้องมีสองวันที่เราไปวัดกัน

            พี่ทินเป็นคนทำอาหารเก่งมากอย่างไม่น่าเชื่อ พี่ทินทำได้ทุกอย่างที่น้องแจนบอกว่าอยากกิน ตั้งแต่อาหารไทย จีน ฝรั่ง เกาหลีไปจนถึงการทำเบเกอรี่ เจ้าตัวเอ่ยปากว่าถ้าไม่ชอบเรียนคอมพ์คงได้ไปเป็นเชฟแล้วเรียนต่อด้านการทำอาหารอย่างจริงจังต่อด้วยหางานทำในร้านอิตาลีแน่นอน น้องแจนอยากจะขอบคุณอะไรสักอย่างที่ดลใจให้พี่ทินไม่ได้อยากเป็นเชฟจริงจัง และมีโอกาสได้พบพี่ทินจนทุกวันนี้

            พี่ทินชอบสัตว์หน้าขนทุกชนิด ที่ต้องเรียกว่าหน้าขนคือเป็นอะไรก็ตามที่มันดูมีขนและนุ่มนิ่ม พี่ทินจะไม่รอช้าที่จะใช้เสียงสอง เสียงสาม เสียงสี่ในการเข้าไปพูดคุยกับพวกมัน เพื่อนหน้าขนของคุณทินกรมีตั้งแต่แมวส้มหน้าคอนโด ตัวเฟ่อเรสของเด็กข้างห้อง พี่จัมโบโกลเด้นตัวใหญ่ที่เวลามันยืนทีแทบมิดหัวพี่ทิน และสัตว์อีกมากมายที่พี่ทินมักจะหยุดทักมันด้วยความเป็นมิตร

            เอาจริงๆ นะ พี่ทินยังไม่เคยใช้เสียงสาม เสียงสี่ในการคุยกับน้องแจนด้วยซ้ำ

            ณ จุดนี้คือโคตรอิจฉาหมาอ่ะบอกตรงๆ

            ให้ดิ้นตายเถอะเทพอีรอส

            วิธีการที่พี่ทินใช้พูดกับหมาแมวพวกนั้น น้องแจนโคตรอยากได้

            พี่ทินเป็นเหมือนคนไม่ยี่หระอะไรในชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะผมว่าพี่ทินใส่ใจในทุกๆ อย่างรอบกาย แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กน้อยเช่นการชอบเดินไหล่ตกของน้องแจน การไม่ชอบกินกระเทียมทุกประเภทบนโลกใบนี้ทำให้อีกคนมักจะบ่นอะไรสักอย่างในลำคอโดยที่น้องแจนจับใจความไม่ได้ การที่น้องแจนชอบใส่ชุดหรือเสื้อตามสีของวันซึ่งทำให้พี่ทินหัวเราะเสมอ

            พี่ทินเป็นคนไม่ติดมือถือ พ่อคนหัวโบราณพอใจกับการอยู่กับหนังสือสักเล่มในบ่ายแก่ๆ วันอาทิตย์ จมอยู่กับตัวอักษรในหนังสือโดยไม่สนโลกภายนอกใดๆ แน่นอนว่าการอ่านหนังสือของคุณทินกรจะต้องมีเสียงเพลงเข้ามาด้วย ซึ่งมันมาจากเครื่องแผ่นเสียงที่เจ้าตัวโม้หนักหนาว่าสั่งมาจากเมริกา พร้อมด้วยเพลงแจ็ซและบลูโซลอีกหลายเพลงที่ฟังไปฟังมาน้องแจนก็ว่ามันเพราะดีเหมือนกัน

            หนังสือแนวที่พี่ทินอ่านแน่นอนว่าก็ไม่ใช่นิยายรักโรแมนติกอีกนั่นแหละ ถ้าพี่ทินได้อ่านนิยายรักดังๆ เช่น  Pride and prejudice, Twilight หรือแม้แต่ Fifty shade of Grey พี่ทินคงเป็นโรแมนติกแมนเพิ่มขึ้นกว่านี้หลายเท่า ในบางวันที่หยุดงานพี่ทินมักจะคลุกอยู่ในร้านหนังสือขนาดใหญ่ในพารากอนและเซนทรัลเวิร์ด เลือกซื้อหนังสือที่เต็มไปด้วยปรัชญาชีวิต กลอนและบทกวี ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งยังตอกหน้าน้องแจนกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ ว่า  

            อ่านแต่นิยายรักประโลมโลกอยู่ได้ หัดเพิ่มไอคิวด้วยการอ่านอะไรที่ทำให้ think positive มั่งเด็กโง่”

            ชิ เป็นคำพูดที่ให้ความรู้สึกเจ็บเหมือนมดกัดนั้นแหละ

            พี่ทินให้ความรู้สึกเย็นเหมือนกลิ่นมิ้นต์แสนสดชื่นในวันอาทิตย์ที่แดดตอนเช้ายังไม่แรงนัก เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้ท้องฟ้าสว่างกว่าทุกวัน

            คุณทินกร ลีวรกุลบางครั้งก็ดูเป็นคนงดงาม แฝงไว้ด้วยมนตราที่แสนเย้ายวน สง่างามและไร้ที่ติจนทำให้หัวใจสลาย

            โลกนี้หาวิธีเล่นงานจุดอ่อนของเราได้เสมอ

            และจุดอ่อนของน้องแจนคือคุณทินกร ลีวรกุล

           

            น้องแจนเจอพี่ทินเมื่อสามเดือนก่อน ในร้านเหล้าที่ไปกับพี่รหัสครั้งแรก ในช่วงแรกก็ค่อนข้างไม่ชอบใจกับเสียงที่มันดังเกินไปและบุหรี่คละคลุ้งที่ลอยไปทั่วจนหาอากาศบริสุทธิ์หายใจไม่ได้ หากแต่เพียงไม่นาน น้องแจนก็เจอกับคนที่ทำให้ทัศนคติการมองแหล่งบันเทิงเหล่านี้เปลี่ยนไป

            สายตาของพี่ทินตอนนั้นเยิ้มไปเล็กน้อยเพราะพิษแอลกอฮอล์ที่มากไปในเส้นเลือด เสียงหัวเราะขบขันดังอยู่ตลอดเวลา จากลักษณะการแต่งตัวและเพื่อนที่มาด้วยกันทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นพนักงานบริษัทสักทีที่มาปลดปล่อยความเครียดกันสุดสัปดาห์ น้องแจนใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการแอบมองอีกฝ่าย

            มองพร้อมกับความแปลกประหลาดที่ก่อกวนความรู้สึก

            มองพร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว

            มองพร้อมกับความคิดฟุ้งซ่านที่วนเวียนเสมือนควันจากปลายบุหรี่ที่ไม่ยอมลอยไปไหน

            มองพร้อมหัวที่เต้นโครมครามเหมือนมีพายุลูกใหญ่หมุนวนอยู่ในนั้น
  
            หลายครั้งที่สายตาของเราบังเอิญปะทะกันกลางอากาศ และในหลายๆ ครั้งนั้นเองที่อีกฝ่ายมักจะเลิกคิ้วใส่น้องแจนราวจะถามว่า มีไร

            เก้วก้าดจุงเบย ใจคนอื่นเค้าบอบบางนะ

            ทั้งที่ทำหน้าเหมือนลูกแมวขู่แท้ๆ

            ไม่รู้ด้วยความเป็นไบโพลาร์หรือผีห่าอะไรเข้าสิง วันนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินตามคนไม่สนิทกลับบ้านอย่างว่าง่าย  หัวเราะไปกับคนๆนั้นด้วยมุขตลกโง่ๆ ที่แม่งไม่เห็นจะขำสักนิด สิ่งที่น่าปวดหัวอีกอย่างคือ สุดท้ายมันไปจบที่เตียงขนเป็ดในโรงแรมสามดาวในเขตไม่ไกลจากผับนั้นเท่าไร

            รวมทั้งผีห่าซาตานที่ยังคงสิ่งอยู่ดันเทิร์นรุกตุ๊ดเด็กหัวโป๊กที่วันๆ เอาแต่คุยเรื่องเครื่องสำอางมากดชายแมนทั้งแท่งที่ตอนแรกอยากได้เป็นผัว

            ชิบหายกว่านี้ก็เปิดกล่องแพนโดร่าแล้ว

            “มึง... กูเจ็บ... ปล่อยก่อน” จำได้แม่นเชียวละ ไอ้อาการกรึ่มๆ มึนๆ นั้นสร่างไปได้สักพักตั้งแต่แท็กซี่เลี้ยวรถเข้าโรงแรมแล้ว เบลอแบลงค์ยังไงไม่รู้ พลิกตัวมาคร่อม จ่อปากทางรักอีกฝ่ายพร้อมรุกเมืองแล้ว

            “พี่มันไม่เข้าอ้ะ” หงุดหงิดจนเผลอเพิ่มเสียงเข้มหลังจากกดแท่งร้อนที่ขยายขึ้นอย่างน่าตกใจใส่คนที่เอาแต่บอกตัวเองแมนตลอดทั้งคืน

            “มึงช้าๆ มึงอย่าเพิ่งดัน มันจุก ไอ้เหี้ยอย่างน้อยมึงควรมีเจลหรือเหี้ยอะไรสักอย่างอ่ะ” อีกฝ่ายแหวมาเสียงดัง ฟังก็รู้ว่ากัดฟันพูดด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ต่างไปจากกันนัก

            โกรธแค้นจนอยากกระทืบให้ตายกันเลยมั่ง ดวงตากลมโตนั้นถึงฉายแววอาฆาตจนเสียวสันหลังไปวูบนึง

            แต่พูดก็พูดเถอะ แมนเหี้ยไรเอวเล็กขนาดนี้วะถามจริงพี่?

            วันๆ ได้แดกข้าวแดกปลาบางหรือเปล่า เดินไปเจอลมแรงจะปลิวไหมเนี้ย

            พูดจาหยาบคายอย่างกับนักเลงโต แรงดันมีเท่ามด งัดกันนิดหน่อยก็หมดแรงจะสู้หอบหายใจแฮกๆ แล้ว

            เห็นแล้วมันอยากจะฟัดให้จมชะมัด

            สิ่งที่คิดว่าน่าจะใช้หล่อลื่นในตอนนั้นได้มากที่สุดคือน้ำลาย ไม่รอช้าจึงได้ถ่มลงบนช่องทางสีสวยที่ไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนของอีกฝ่าย ปลายนิ้วยาวตวัดป้ายหล่อลื่นมันอีกเล็กน้อยหากเพียงแค่นั้นก็สร้างอาการเกร็งจนรู้สึกได้แล้ว

            “โคตรดิบเลยอ่ะ ขอโทษนะพี่แต่อารมณ์มันพาไปแล้ว”

            “มึงหยุดพูด อึก...” เสียงแหบแห้งหอบหายใจออกมาอย่างกระเส่า เซ็กซี่ชิบหาย เซ็กซี่กว่ามิยาบิที่เคยแอบแม่เปิดดูกะอีเจนนี่อีก

            พี่ทินโคตรเซ็กซี่

            “ข้างในพี่โคตรร้อนอ้ะ อ๊า... รัดจัง” มันกำลังบีบรัดสิ่งแปลกปลอมที่สอดตัวเข้ามา ความอุ่นร้อนโอบอุ้มตัวตนเขาไว้จนอดไม่ได้ที่ต้องคำรามในลำคอ

             “เบาๆก่อน ช้าๆ ฮ้า... ค่อยๆทำ กูไม่เคย...”

            “ฮื่อ รู้แล้วว่าไม่เคย แน่นขนาดนี้ ขอโทษจะไม่เอาแต่ใจแล้ว” ไม่เคยเอากะใครหรอกนะ แต่ตัวสั่นแล้วเข้าโคตรยากขนาดนี้ควายที่ไหนก็ดูออกว่าไม่เคย

            “พี่ทิน...”

            “อื้อ...”

            “หันหน้ามาหน่อยได้ป่ะ”

            “ทำไม อ๊า... อย่าเร็วขนาดนั้น” มองจากมุมที่เขาอยู่พี่ทินกำเล็บจิกลงบนที่นอนแน่น ใบหน้าแหงนขึ้นฟ้า เอวเล็กแอ่นเป็นแนวราบไปกับเตียง

            โอ๊ย ขี้ยั่วไม่รู้ตัวอีกแล้ว

            เพื่อนๆ ที่คบกับอยู่นี่อดใจกับคนแบบนี้ได้ไงกัน

            “แจน...”

            “ว่าไงพี่”

            “เจ็บ...”

            “ขอโทษค่ะ” เออ อดใจไม่ไหวจริงๆ แหละ อดใจไม่ไหวจนต้องหันใบหน้าคนที่น้ำตาคลอมาจูบเบาๆ

            จากจูบที่เพียงแค่กดริมฝีปากลงบางๆ มันกลายเป็นดีพคิสแสนลึกล้ำ เขาไล้ต้อนเกี่ยวกระหวัดลิ้นด้านในริมฝีปากบวมช้ำถูกบดจูบไปซ้ำๆ จูบย้ำไปทั่วทุกอณู ผิวขาวเหมือนเด็กขึ้นสีจางๆ จากริมฝีปากเขาที่ลากผ่าน

            พี่ทินตัวโคตรหอม

            “มึง... มึง...”

            “อื้อ”

            “ไอ้น้องแจน หลับหรอ”

            “อะไรนะ?”

            “จะลงแล้ว ลุกดิ้ มึงหลับทั้งที่ลืมตาเนี้ยนะ”

            กระพริบตาอีกทีสภาพห้องเละเทะราวกับเกิดสงครามโลกในโรงแรมนั้นก็จางหายวับไป เหลือเพียงรอยยิ้มขำเชิงเยาะเย้ยมาจากคนด้านหน้าที่ลุกมาจ้องหน้าเขา

          ฝัน... หรอ

            “ชอบนอนดึก กูเคยบอกแล้วให้นอนพร้อมกู”

            “อ่อ... อื้อ”

            “ลุกป้ะ เดี๋ยวพาไปล้างหน้า”

            “อื้อ”

            “ป้ะดิ มึงจะนั่งหาป้ามึงหรอ”

            “ใจเย็นคร่า คนสวยก็ต้องการเวลาในการลุกบ้างอะไรบ้าง”

            “โว๊ะ ชักช้าเป็นเต่า”

            เพียงเท่านั้นคนขี้รำคาญเลยไปยืนรอหน้าประตูทันที กระเป๋าสะพายข้างที่วางไว้บนตักถูกยกมาปิดด้านหน้าของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นไม่ให้ใครสะดุดตาเท่าไร

            อะไรมันจะขึ้นง่ายขนาดนี้ว่ะ

            โอย แข็งมากเลยด้วย อีเหี้ย

            นี่มันเหี้ยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

            ชิบหายจริงๆ มาขึ้นอะไรตอนอยู่บนบีทีเอสเนี้ย นังเด็กไม่รักดี!

            นึกถึงพี่ทินนิดหน่อยทำเป็นขึ้นๆ โอย น้องแจนจะบ้า!

            คนที่เอาแต่เดินนำหันกลับมามองกันบ่อยๆ ซึ่งนอกจากส่งยิ้มแหยๆ พร้อมด้วยท่าเดินแปลกที่ต้องปกปิดบางส่วนที่มันนู่นขึ้นมากลับไปให้พี่ทิน ก็ได้แต่สวดภาวนาว่ามันจะไม่มีคนเห็น

            โคตรโรคจิตเลยอ่ะ มาอยากอะไรตอนนี้กัน

            “พี่ทิน”

            “อืม?”

            “ขอไปห้องน้ำหน่อยได้ป่ะ”

            “มึงปวดท้องหรอ เดินแปลกๆ”

            “เอ้อออออ โคตรปวดท้องอ่ะพี่ รอแปปนะ ขอไปห้องน้ำหน่อย”

            “เอ้า อีนี่ กูต้องรอมึงขี้ด้วยหรอ ตอนอยู่เคเอฟซีกูบอกแล้วว่าอย่าแดกเยอะ”

            “น้า... หนูยังเคยรอพี่ขี้เลย รอหนูครั้งนึง”

            “มึงแม่งวุ่นวายวะน้องแจน”

            “อือ ขอทีนึง”

            “เออ รีบๆไป กูจะไปหาที่นั่งรอละกัน”

            “ค่ะ จะรีบให้มากที่สุด”

            เมื่อยมืออีกแล้ววุ้ย!
           

            .
            .
            .
            (พี่ทิน)

            “มึงจะเสร็จหรือยังเนี่ย รอมาสิบนาทีละ”

            (โทรคุยเป็นเพื่อนหน่อยดิ)

            “อีบ้า ให้ฟังเสียงมึงขี้หรือไง”

            (ใจร้ายอ่ะ อ่อนโยนหน่อยดิ)

            “เออ ก็ได้แม่ง”

            (งั้นช่วยหนูอีกอย่าง)

            “อะไรอีกวะ ทำไมวันนี้มึงโคตรวุ่นวาย”

            (กลัวผีอ่ะ ช่วยหน่อยยยยย)

            “ให้ทำอะไร”

            (พี่ลองเรียกแบบน้องแจนๆ ไปเรื่อยหน่อยดิ)

            “นี่มึงเป็นบ้าแล้วหรอ น้องแจนๆอะไรของมึง”

            (ก็หนูจะได้อุ่นใจว่าพี่คุยกะหนูอยู่)

            “มึงแม่งโคตรตัวน่ารำคาญเลย”

            (งื้อ ช่วยหน่อยน้า แค่นี้เอง)

            “เออๆๆ น้องแจน...”

            (อื้อ...)

            “เสียงมึงกระเส่าจังว่ะ”

            (มันปวดอยู่ก็เงี้ยแหละ ไม่เคยปวดมากๆหรือไง)

            “ปวดมากแล้วไม่บอกว่ะ จะได้พาเข้าห้องน้ำตั้งแต่แรก”

            (เรียกชื่ออีกรอบหน่อย กลัวผี)
           
            “เออๆๆ”

            (...)

            “น้องแจน...”

            (...)

            “น้องแจน...”

            (อื้อ ดีมากเลยพี่ทิน)

            “อะไรของมึงว่ะน้องแจน”

            (อืม..)

            “น้องแจน...”

            (...)

            “น้องแจน...”

            (อ๊ะ...)

            ตรู๊ด.... ตรู๊ด.... ตรู๊ด...


            “อะไรของน้องแจนแม่งว่ะ” 





แจนมันทำอารายยยยย ป้าคิดมากกกก แกไม่ได้ขี้แน่ๆ
เดี๋ยวมาต่อวันเกิดน้องแจนอีกตอนวันหลัง ง่วงแร้ว ฝันลีกานน้าทุ๊กโค้น
ถ้าชอบอย่าลืมติดแท็ก #คืนที่หนึ่งแจยง 

วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Our first night (Johnten)























            สิบทิศงั้นหรอ

            เป็นชื่อที่ได้ยินครั้งแรกก็ต้องสะกิดใจฟัง ชายหนุ่มค่อนข้างภาคภูมิใจกับที่มาของมัน อย่างแรกเลยคือมันเป็นชื่อที่แม่เขาตั้งให้ ซึ่งมันดันไปคล้องจองกับชื่อ 'ผู้ชนะสิบทิศ' พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศพม่า เวลาได้ยินใครเรียกว่าสิบทิศมันจึงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับเขาคือผู้ชนะสิบทิศ อย่างที่สองคือความหมายที่ค่อนข้างไปในทางดีของมัน ดังนั้น ชายหนุ่มผู้ที่เติบโตมากับคำว่าสิบทิศจึงเป็นคนที่ภาคภูมิใจในเกียรติ์และศักดิ์ศรีของตัวเองมากๆ

            สิบทิศมักจะเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ คำว่าชนะมันดึงดันให้เขาพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตทั้งจากชื่อที่เขาคล้องจองอยู่ หรือจากความคาดหวังจากผู้คนรอบข้างที่ต้องเห็นความเป็นที่หนึ่งในตัวเขา เขาชอบที่จะเป็นผู้นำ คอยนำพาเพื่อนๆ เขาชอบการเป็นหัวหน้า ชอบอยู่ในคำสรรเสริญ เขาเกลียดการพ่ายแพ้ แม้ว่าการพ่ายแพ้นั้นอาจจะแค่หมายถึงการสอบได้คะแนนรองท็อปมาแค่สองคะแนน สิบทิศก็จะพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อที่การสอบในครั้งหน้าเขาต้องได้คะแนนท็อปของห้อง และได้คะแนนทิ้งห่างรองท็อปแบบไม่เห็นฝุ่น

            จนกระทั่งวันหนึ่งที่สิบทิศได้เจอกับความพ่ายแพ้ครั้งแรก

             มันเล่นงานเขาจนอับอายไม่กล้าสู้หน้าใคร ไม่สบายและไข้ขึ้นไปถึงสองวันเต็ม

            และความพ่ายแพ้ครั้งนั้นก็ยังเล่นงานสิบทิศมาตลอดขวบปีที่ผ่านมา

            เขายังคงจำรสชาติความพ่ายแพ้ครั้งแรกที่ได้รับอย่างขึ้นใจ ว่ามันย้ำยีเขาได้โหดเหี้ยมแค่ไหน



            .
            .

            “ปล่อยกู!

            เสียงตะโกนของชายหนุ่มไม่ได้ทำให้คนด้านหลังหยุดการเคลื่อนไหว การกระโจนจ้วงอย่างหยาบโล้น ลมหายใจร้อนยังคงที่เป่ารดต้นคอ น้ำเสียงแหบต่ำในลำคอที่บ่งบอกว่าพึงพอใจในร่างกายเขา ฝ่ามือหนาที่บังคับให้เขาอยู่ใต้อายัด

            “ไอ้เหี้ย มึงหลอกกูแบบนี้ได้ไงวะ” แม้ว่าจะพยายามต่อสู้เท่าไหร่ แต่การพันธนาการกลับดูแน่นหนามากขึ้น บัดนี้ข้อมือทั้งสองของเขาถูกรัดไว้ด้วยเศษผ้าอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็ไม่พ้นอาจจะเป็นจากเสื้อเขาที่เพิ่งถูกกระชากออกไปอย่างไม่ไยดี   

            ส่วนร้อนอัดกระแทกเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งที่มันบดเบียดตัวตนใส่ช่องทางด้านหลังของเขา มันบีบรัดช่องท้องสิบทิศจนทำให้มวนอย่างแปลกประหลาด สิ่งแปลกปลอมเสียดสีอยู่ด้านในเสมือนกับความร้อนจากปล่องภูเขาที่รอการปะทุ การยัดเยียดตัวตนอย่างรุนแรงเรียกเสียงครางต่ำๆ จากคนด้านหลังได้เป็นอย่างดี

            ความวูบวาบจากยาปลุกเซ็กส์ที่เพิ่งได้รับค่อยๆ เร่งเร้าความร้อนจนผิวกายชายหนุ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ สิบทิศกัดฟันแน่นเมื่อยามที่แก่นกายอีกฝ่ายขยับเนิบนานราวหยอกล้อกัน ริมฝีปากบางขบเข้าหากันจนบวมช้ำ ซึ่งไม่รู้ว่ามันบวมจากการถูกบดจูบมาจากก่อนหน้านี้หรือเพราะเขาขบมันไว้เพื่อกลั้นเสียงครางกันแน่

            “อ่าห์....”

            “ไอ้เหี้ย สาบานได้เลยว่าถ้ากูหลุดไปได้... อึก... มึงต้องไม่ตายดี...”

            “อื้ม...”

            “อ๊าาาาา!

            ฟันคมงับเข้าหัวไหล่ขวาจนต้องกรีดร้องออกมา คนด้านหลังฝังเขี้ยวคมลงบนไหล่เขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรแต่มันทำให้เขาได้แต่หวีดร้อง สิบทิศพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้น้ำตาเม็ดใสไหลลงมา หากมันก็ช่างทำได้ยากเย็น ปลายเล็บของชายหนุ่มจิกเข้ากันแน่น ยิ่งพยายามเม้มริมฝีปากเข้าด้วยกันจนเจ็บ

            เจ็บทั้งกาย... เจ็บทั้งใจ

            แค่ตอบรับการเล่นสนุกจากเพื่อนดริ้งที่ท้าทายให้เขาลองฟันสาวสองครั้งแรกดู...

            มันกลับกลายเป็นความอัปยศอย่างน่าอับอาย

            “พี่แม่ง... ซี้ดดด...” จูบแผ่วเบาไล่ไปตามช่วงไหล่ กดริมฝีปากลงบนเนื้ออ่อนนุ่มราวกับหลงใหล ในขณะเดียวกันทุกสัมผัสแสนอ่อนโยนนั้นก็สร้างความสั่นสะท้านให้แก่สิบทิศเช่นกัน สร้างเสียงหอบครวญน่ารังเกียจที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันมาจากตัวเขา

            “กูจะฆ่ามึงแน่ๆ อ๊ะ... ไอ้เหี้ย... อื้อ!” สะโพกสอบสวนกระแทกเนื้อนุ่มตามจังหวะอารมณ์ที่ขึ้นสูงทวีคูณทุกวินาที ความกระสันไต่ระดับขึ้นสูงตามความร้อนจากร่างกายของกันและกัน

            “ฆ่ากันให้ตายด้วยการบีบรัดจากพี่งั้นหรอ... ถ้าแบบนั้นพี่ก็กำลังฆ่าผมอยู่... อ่า... พี่เตนล์... ”

            สิบทิศเคยเก่งกาจในเรื่องเซ็กส์ เขาสามารถทำให้หญิงสาวหลายต่อหลายคนมานอนทอดสะพานให้อย่างง่ายดาย

            สิบทิศเคยเก่งกาจในเรื่องการจูบ เรียวลิ้นเคยลัดเลาะชิมหาความหวานจากโพลงปากของสาวเหล่านั้นได้อย่างชำนิชำนาญ

            หากแต่ตอนนี้ สิบทิศได้แต่นอนหมดท่าให้กระเทยที่ตัวใหญ่กว่าเขาข่มเหงอย่างไร้ทางสู้

            “You make me so hot for you… I want to fuck you deep and hard ทุกเสียงกระซิบนั้นทำให้สิบทิศขนในกายลุกชัน ท่อนเนื้อใหญ่โตฝังร่างลึกแนบแน่นก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออก ทั้งถาโถมมาไม่ยั้งและถอยหนีสร้างความกระสันให้แก่สิบทิศจนรู้สึกราวจะขาดใจเสียนาทีใดนาทีหนึ่ง

            น้ำเสียงแปลกๆ เหมือนเด็กวัยแตกหนุ่มเจือความห้วนเพราะเจ้าตัวบอกว่าตอนเด็กอาศัยอยู่อเมริกาบัดนี้กลายเป็นแหบแห้ง คำรามในลำคอไม่ต่างจากสัตว์ร้ายยามวิกาล เพ่งพิศมองดวงตาที่ประกายกล้าไปด้วยความหิวกระหาย ไหนจะนัยน์ตาสีดำสนิมที่สิบทิศเคยคิดว่ามันเปล่งประกายดูสดใส ในตอนนี้มันราวกับหลุมดำมวลมหาศาลที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปทำลายล้าง

            นัยน์ตาคู่นี้มันช่างอ่านยากจนทำให้หงุดหงิดใจ ราวกับพ่อมดที่หลอกล่อด้วยเวทมนต์แสนฉงน คุณได้แต่จ้องกับความสวยงามและทรงพลังของมัน จนรู้ตัวอีกทีก็ถูกดูดเข้าไปในหลุมดำหลุมนั้นแล้ว

            เสือร้ายอย่างสิบทิศกำลังถูกโค่นบังลังก์...

            ด้วยนักล่าที่เก่งกาจกว่าเขามากอย่างจอห์นนี่

            ซึ่งมาในคราบที่ดูแสนไร้เดียงสาเหมือนตุ๊ดเด็กที่มานั่งหัวเราะอย่างไม่มีพิษไม่มีภัย

            “ข้างในพี่ร้อนเป็นบ้า”

            “แฮ่ก... อื้ม... อ๊า...อย่าเพิ่งขยับ”

            ปลายนิ้วของอีกฝ่ายเย็นชืด หากแต่ปลุกเร้าความวาบหวามได้ในทุกส่วนสัดที่ลากผ่าน สิบทิศไม่แน่ใจว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะยาปลุกเซ็กส์ที่ถูกป้อนเข้ามาด้วยหรือเปล่า แต่มันทำให้เขาหลอมละลายไม่ต่างจากขี้ผึ้งที่ถูกล่นไฟ ร่างกายอ่อนปวกเปียกต่อคนด้านหลัง สิบทิศเกือบจะทรุดตัวเสียหลายครั้งหากไม่มีมือใหญ่ค่อยหยัดสะโพกกลมมนไว้

            กายเล็กร่างกายสั่นเทิ้ม หยาดเหงื่อชโลมกายทั้งคู่ ผสานเสียงเนื้อกระทบเนื้อหยาบโลนดูน่ารังเกียจ เสียงครางเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากไรฟันซี่สวย สัมผัสแผ่วเบาบริเวณหัวไหล่ที่ถูกกัดทำให้เขาต้องหันไปมองอีกฝ่ายกำลังกดจูบลงมาช้าไปตามลาดไหล่บาง จังหวะเดียวกับที่สายตาเย็นชาเงยหน้ามามองกัน ทว่าไม่ช้ามือใหญ่ก็จับใบหน้าเขาให้หันกลับไปทางเดิม รวมถึงสอดใส่นิ้วยาวเข้ามาคว้านในโพลงปากอย่างเอาแต่ใจ

            “ดูดมันซิพี่เตนล์”

            แรงความต้องการที่เตลิดเพลินไปทุกส่วนอย่างรั้งไม่อยู่ทำให้สิบทิศยอมทำตามที่สั่งอย่างว่าง่าย ความเสียวซ่านเสียดลึกในทุกจังหวะการแทรกกายเข้าหาความคับแน่นร้อนระอุ ยิ่งมันทรมานเขาเท่าไหร่ สิบทิศยิ่งดูดดึงปลายนิ้วยาวมากขึ้นเท่านั้น ปั่นป่วนราวพายุก่อตัววิ่งสะท้านไปทั้งกาย  

            “พี่แม่งฮอตชิบ”

            “อือ... เสียว... จะ... จะขาดใจแล้ว อึก... อ๊าาา...”

            “I’m fucking you now, and you cannot control what’s happening… you’re at my mercy… you’re just being fucked hard…”

            สิบทิศแค่พ่ายให้แก่จอห์นนี่อย่างสมบูรณ์แบบ

            .
            .
           




            เป็นอีกครั้งที่สิบทิศตื่นมาพร้อมกับความอึดอัด เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ใบหน้ายับยู่ยี่เพราะนึกเคืองคนที่ไม่ปล่อยเขาไปไหนเลยเกือบปีที่ผ่านมา ท่อนแขนหนักพาดทับเอวเขาไว้ เรียกความหงุดหงิดขึ้นมาในทันที ใบหน้าเรียวหงิกงอสนิท ในช่วงปีที่ผ่านมาคนข้างกายเขาช่างโตและดูสุขุมขึ้นอย่างน่าตกใจ

            จอห์นนี่หรือเจนนี่

            ตุ๊ดยักษ์มากแผนการนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเดียวกับเขา เสี้ยวหน้าคมฝังอยู่บนหมอนนุ่ม ลมหายใจที่เป่าออกมาเป็นจังหวะยาวบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในนิทราลึก เป็นอีกครั้งที่สิบทิศต้องมาหงุดหงิดอยู่คนเดียวค่าที่ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย

            “ฝันร้ายหรอ” เสียงต่ำๆ เหมือนดังมาจากในลำคอเอ่ยขึ้นผ่านความมืด เมื่อสิบทิศหันไปดูก็พบว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะลืมตาด้วยซ้ำ

            “ฝันร้ายเพราะมึงนั้นแหละ” มือเรียวขยี้ศีรษะระบายอารมณ์ พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงด้วยหงุดหงิด

            “คนนะไม่ใช่บูกี้แมน” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาเล็กน้อยเมื่อเขาทุบลงไปบนท่อนแขนที่กอดก่ายเขาอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ซ้ำยังพึมพำออกมาเบาๆ “ขี้งอนเป็นลูกแมว”

            “แมวพ่อมึงสิอีเจนนี่”

            เจนนี่คือตุ๊ดยักษ์ที่มีแต่ความอ่อนโยน ทั้งสายตา คำพูด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิท เจนนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับกระเทยคนนึงที่วี๊ดว๊ายไปตามประสา

            ในทางกลับกัน คนที่หลบอยู่หลังฉากเจนนี่คือ จอหน์นี่ ชายหนุ่มเอาแต่ใจที่มักจะถือสิทธิ์ในตัวเขาทุกอย่าง ตั้งแต่ครั้งแรกที่มันข่มขืนเขา ทั้งจอห์นนี่และเจนนี่ก็มาวุ่นวายกับเขาไม่จบไม่สิ้น

            หากเจนนี่คือแสงสว่างในช่วงกลางวัน

            จอห์นนี่คือรัตติกาลแสนเย็นชาในช่วงกลางคืน

            คนคนเดียวที่มีบุคลิกต่างกันเหลือเกิน

            อะไรคือความเป็นจริงในสองคนนี้ สิบทิศก็ไม่อาจรู้ แค่ที่เขาต้องรบรากับทั้งคู่ในแต่ละวัน เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะต้องมานั่งใส่ใจอะไรอีก

            “นมก่อนนอนไหม จะได้หลับสบาย”

            “ไม่ต้อง”

            “แล้วเป็นไร” น้ำเสียงเข้มอู้อี้เพราะกำลังซุกลงหมอนงัวเงียจะหลับต่อ

            “ฝันถึงคืนแรกของมึงกะกู” เพียงเท่านั้นเสียงหัวเราะดังลั่นก็ดังมาจากข้างกาย ยิ่งสร้างความขัดเคืองให้แก่เขามากขึ้น

            “มึงเหี้ย” สิบทิศด่ากลับทันควัน

            “ขอโทษ... ฮ่าๆๆ มันแบบ... นึกถึงพี่ตอนนั้นก็ตลกดี”

            “มึงตลกกูหรออีเจนนี่ มึงตายคามือกูซะเถอะไอเหี้ย” สิบทิศผุดลุกขึ้นพร้อมหมอนในมือ ไม่อ้อมแรงที่ใช้กดลงใส่ฝ่ายที่นอนหัวเราะ “ตายซะ! อีเจนนี่ กูแค้นใจนัก”

            “โอ๊ย... ปล่อยก่อนพี่เตนล์”

            “มึงอย่าจับมือกูไว้สิ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม ส่งสายตาอาฆาตใส่อย่างไม่ยอมแพ้ จ้องเขม็งราวเป็นศัตรูมานับสิบปี

            “ใจเย็นดิ้พี่เตนล์ โกรธจริงหรอวะ”

            “เออ โกรธจริง”

            “ไมมาเกรี้ยวกราดวันนี้ เมนส์ไม่มาหรอ เอ๊ะ หรือเจนนี่ลืมซื้อปลาทูมาให้พี่กิน” เสียงเจ้าตัวเต็มไปด้วยความอารมณ์ดีซ้ำยังสัพยอกเขาอย่างไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ

            “ปลาทูที่หน้ามึงสิ” หมอนใบใหญ่ถูกยกฟาดลงบนเจนนี่อีกหลายครั้ง ซึ่งนอกจากเสียงหัวเราะที่ดูจะถูกอกถูกใจแล้ว ก็ไม่เห็นมันจะเป็นอะไร สร้างความหงุดหงิดใจให้กับสิบทิศอีกเท่าตัว   

            “ปล่อยกู” เพียงแค่ใช้แรงเล็กน้อย หมอนที่เป็นอาวุธก็ไปนอนแอ้งแม้งหนีความผิดอยู่ที่พื้น จากนั้นสิบทิศก็ต้องมาเป็นฝ่ายเกยทับบนตัวอีกฝ่าย

            “โกรธอะไรเค้าละ” อ้อมกอดจากแขนยาวดึงสิบทิศให้แนบตัว จำเลยหนุ่มกดตัวเพชฌฆาตเข้าอก วาดวงแขนแข็งแรงในเชิง โอ๋เขาเบาๆ

            สิบทิศกร่นด่าตัวเองที่พลาดพลั้งให้อีกฝ่ายหาประโยชน์จากร่างกายได้อย่างง่ายดาย ความร้อนสายนึงวิ่งผ่านไปทั่วร่างของคนตัวเล็กกว่า ร้อนผ่าวตั้งแต่ปลายผมจรดข้อเท้า

            โอย.... กูจะหน้าร้อนทำห่าอะไรเนี่ยสิบทิศ!

            “ลบคลิปกูแล้วแน่นะ”

            “เออ ลบไปเป็นชาติแล้วค่ะ”

            “เออ กูก็นึกถึงคืนนั้นแล้วเจ็บใจ เลยมาหงุดหงิดใส่มึง” น้ำเสียงขึ้นจมูกอู้อี้อยู่ตรงอกกว้าง ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วดังขึ้นเหนือหัว ต้องยอมรับอย่างน่าอับอายว่าสิ่งที่เจนนี่ทำ มันทำให้เขาลดความขุ่นเคืองลงไปได้โขจริงๆ

            “ให้ทุบตลอดไปก็ได้ หายโกรธเค้านะ สำนึกผิดแร้ว”

            “เออ อีตุ๊ดยักษ์”

            “น่ารัก” สิ้นคำนั้นปลายจมูกโด่งก็ฝังลงบนแก้มตนอย่างรวดเร็วโดยที่สิบทิศไม่ทันได้ผละหนี ทิ้งรอยอุ่นซ่านจากริมฝีปากไว้ที่เนื้อนวล

            “มึงแม่ง...”

            “Sweet dream my kitty


            “กูไม่ใช่แมว!









สวยเผ็ชและเอวดุมาก คริคริ :p















ด้วยความที่ชอบคู่นี้มาก เลยแต่งเนื้อเรื่องเพิ่มให้ 
ถ้าชอบอย่าลืมติดแท็ก #คืนที่หนึ่งแจยง นะคะ 
วาปไปจอยของเรื่องนี้ http://www.joylada.com/story/5a267f5a7af16a000144780c